ไวรัสเมอร์ส(MERS-CoV) ที่ระบาดหนักในเกาหลีใต้ในเวลานี้ ทำให้หลายประเทศเริ่มเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเกาหลีใต้แล้ว พร้อมทั้งต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ วันนี้ไปทำความรู้จักกับไวรัสตัวนี้กันอีกครั้งเพื่อหาแนวทางป้องกันแม้ว่าจะยังไม่พบการแพร่ระบาดในไทยก็ตาม
ทำไมชื่อ เมอร์สคอฟ
มาจากชื่อเต็มภาษาอังกฤษว่า Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) หรือเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง
ไวรัสเมอร์ส ก็คือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ กลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันในประเทศตะวันออกกลาง โดยบางครั้งยังถูกเรียกว่า "ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012" เนื่องจาก พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อครั้งแรกในประเทศ ซาอุดิอาระเบีย ในปีค.ศ. 2012 หรือพ.ศ.2555
ความร้ายแรงของไวรัสเมอร์สคอฟ
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเมอร์สจะมีอาการคล้ายเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมีไข้สูงไอ หายใจหอบ หายใจขัด ถ่ายเหลว หากเป็นหนักจะเสียชีวิตทันทีภายใน 3 -4 สัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเพศชาย โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกน้ำลายผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอจาม โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดร้อยละ 96 มีโรคประจำตัว 1 โรคหรือมากกว่า ได้แก่เบาหวาน รองลงมาคือความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต
ไวรัสชนิดนี้มีหลายสายพันธุ์ มีลักษณะคล้ายโรคซาร์ส แต่มีความรุนแรงมากกว่า บางสายพันธุ์เป็นไวรัสที่ติดเชื้อ อยู่บริเวณส่วนต้นของทางเดินหายใจในคน เป็นสาเหตุของโรคหวัดทั่วๆไป บางสายพันธุ์ติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า เช่น อูฐ และค้างคาว แต่ต่อมาไวรัสสายพันธ์นี้ได้มีการพัฒนาจนสามารถแพร่เข้ามาติดเชื้อในคนสู่คนได้
โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่าล่าสุดมีผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสตัวนี้แล้ว 442 คน อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 36 โดยข้อมูลจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของยุโรป รายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2012 ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2558 แล้วใน 25 ประเทศ คือ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ จอร์แดน โอมาน คูเวต อียิปต เยเมน เลบานอน อิหร่าน ตุรกี อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ตูนิเซีย แอลจีเรีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และ จีน
สำหรับอาการของผู้ป่วยด้วยไวรัสเมอร์ส จะมีอาการหนาวสั่นเป็นไข้ ไอ หายใจไม่สะดวก บางรายมีอาการกับระบบทางเดินอาหารทำให้อาเจียนและท้องเสีย และอาจทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ และไตวายตามมา ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยอื่นๆร่วมด้วย
และปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการติดต่อระหว่างคนเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มีข้อมูลว่าการติดต่อมักเกิดขึ้นภายในครอบครัว และจากในโรงพยาบาล แต่ถือว่าการแพร่ะระบาดยังอยู่ในวงจำกัด
โดยปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสหรือวัคซีนในการรักษาเมอร์ส แพทย์ทำได้เพียงให้การรักษาตามอาการ โดยเฉพาะการดูแลระบบการหายใจ เพื่อไม่ให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
การป้องกันเบื้องต้นไวรัสเมอร์สคอฟ
1. กินร้อน- ช้อนกลาง- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ที่มีอาการป่วย ล้างมือบ่อยๆ
2. ใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปากเมื่อจาม
3. หลีกเลี่ยงไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด
4. สวมหน้ากากอนามัยหากต้องไปสถานที่ที่ผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์
5. หมั่นออกกำลังกายและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
6. มาพบแพทย์พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่หากมีประวัติเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย การ์ตา จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ตูนิเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน คูเวต มาเลเซีย กรีซ และฟิลิปปินส์หากเดินทางไปยังประเทศในตะวันออกกลาง และหากเดินทางกลับจากต่างประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ แล้วมีอาการไข้ภายใน 2 วันให้รีบพบแพทย์ทันที
ประเทศที่ยังพบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สคอฟอย่างต่อเนื่อง
หลังจากเริ่มมีรายงานผู้ป่วยตั้งแต่วันที่20กันยายน 2556 เป็นต้นมายังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องใน 11 ประเทศ ได้แก่ จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ตูนีเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน และคูเวต ล่าสุดพบผู้ที่เสียชีวิตหลังจากติดเชื้อไวรัสเมิร์สคอฟที่ประเทศฟิลิปปินส์และมาเลเซีย โดยองค์การอนามัยโลกรายงาน ณ วันที่ 16 เมษายน 2557 พบผู้ป่วยยืนยัน 238 ราย เสียชีวิต 92 ราย
หากสงสัยว่าตนเองมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอถึง 2 วัน หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติม โทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้องค์การอนามัยโลก ยังไม่มีข้อห้ามในการเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค จนกว่าจะสามารถชี้ชัดได้ว่าไวรัสชนิดนี้ติดต่อระหว่างคนได้อย่างไร แต่หลายประเทศได้เริ่มมีคำแนะนำให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศที่พบการติดเชื้อแล้ว
ทำไมชื่อ เมอร์สคอฟ
มาจากชื่อเต็มภาษาอังกฤษว่า Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) หรือเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง
ไวรัสเมอร์ส ก็คือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ กลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันในประเทศตะวันออกกลาง โดยบางครั้งยังถูกเรียกว่า "ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012" เนื่องจาก พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อครั้งแรกในประเทศ ซาอุดิอาระเบีย ในปีค.ศ. 2012 หรือพ.ศ.2555
ความร้ายแรงของไวรัสเมอร์สคอฟ
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเมอร์สจะมีอาการคล้ายเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมีไข้สูงไอ หายใจหอบ หายใจขัด ถ่ายเหลว หากเป็นหนักจะเสียชีวิตทันทีภายใน 3 -4 สัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเพศชาย โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกน้ำลายผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอจาม โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดร้อยละ 96 มีโรคประจำตัว 1 โรคหรือมากกว่า ได้แก่เบาหวาน รองลงมาคือความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต
ไวรัสชนิดนี้มีหลายสายพันธุ์ มีลักษณะคล้ายโรคซาร์ส แต่มีความรุนแรงมากกว่า บางสายพันธุ์เป็นไวรัสที่ติดเชื้อ อยู่บริเวณส่วนต้นของทางเดินหายใจในคน เป็นสาเหตุของโรคหวัดทั่วๆไป บางสายพันธุ์ติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า เช่น อูฐ และค้างคาว แต่ต่อมาไวรัสสายพันธ์นี้ได้มีการพัฒนาจนสามารถแพร่เข้ามาติดเชื้อในคนสู่คนได้
โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่าล่าสุดมีผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสตัวนี้แล้ว 442 คน อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 36 โดยข้อมูลจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของยุโรป รายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2012 ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2558 แล้วใน 25 ประเทศ คือ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ จอร์แดน โอมาน คูเวต อียิปต เยเมน เลบานอน อิหร่าน ตุรกี อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ตูนิเซีย แอลจีเรีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และ จีน
สำหรับอาการของผู้ป่วยด้วยไวรัสเมอร์ส จะมีอาการหนาวสั่นเป็นไข้ ไอ หายใจไม่สะดวก บางรายมีอาการกับระบบทางเดินอาหารทำให้อาเจียนและท้องเสีย และอาจทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ และไตวายตามมา ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยอื่นๆร่วมด้วย
และปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการติดต่อระหว่างคนเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มีข้อมูลว่าการติดต่อมักเกิดขึ้นภายในครอบครัว และจากในโรงพยาบาล แต่ถือว่าการแพร่ะระบาดยังอยู่ในวงจำกัด
โดยปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสหรือวัคซีนในการรักษาเมอร์ส แพทย์ทำได้เพียงให้การรักษาตามอาการ โดยเฉพาะการดูแลระบบการหายใจ เพื่อไม่ให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
การป้องกันเบื้องต้นไวรัสเมอร์สคอฟ
1. กินร้อน- ช้อนกลาง- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ที่มีอาการป่วย ล้างมือบ่อยๆ
2. ใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปากเมื่อจาม
3. หลีกเลี่ยงไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด
4. สวมหน้ากากอนามัยหากต้องไปสถานที่ที่ผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์
5. หมั่นออกกำลังกายและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
6. มาพบแพทย์พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่หากมีประวัติเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย การ์ตา จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ตูนิเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน คูเวต มาเลเซีย กรีซ และฟิลิปปินส์หากเดินทางไปยังประเทศในตะวันออกกลาง และหากเดินทางกลับจากต่างประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ แล้วมีอาการไข้ภายใน 2 วันให้รีบพบแพทย์ทันที
ประเทศที่ยังพบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สคอฟอย่างต่อเนื่อง
หลังจากเริ่มมีรายงานผู้ป่วยตั้งแต่วันที่20กันยายน 2556 เป็นต้นมายังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องใน 11 ประเทศ ได้แก่ จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ตูนีเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน และคูเวต ล่าสุดพบผู้ที่เสียชีวิตหลังจากติดเชื้อไวรัสเมิร์สคอฟที่ประเทศฟิลิปปินส์และมาเลเซีย โดยองค์การอนามัยโลกรายงาน ณ วันที่ 16 เมษายน 2557 พบผู้ป่วยยืนยัน 238 ราย เสียชีวิต 92 ราย
หากสงสัยว่าตนเองมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอถึง 2 วัน หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติม โทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้องค์การอนามัยโลก ยังไม่มีข้อห้ามในการเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค จนกว่าจะสามารถชี้ชัดได้ว่าไวรัสชนิดนี้ติดต่อระหว่างคนได้อย่างไร แต่หลายประเทศได้เริ่มมีคำแนะนำให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศที่พบการติดเชื้อแล้ว